เครียดนักก็คลายหน่อย คลายได้ก็เพิ่มสุข คนที่รู้วิธีจัดการกับความเครียดได้ไว ก็จ…

เครียดนักก็คลายหน่อย คลายได้ก็เพิ่มสุข

คนที่รู้วิธีจัดการกับความเครียดได้ไว ก็จะมีความสุข และมีสุขภาพดี แข็งแรง มากกว่าคนที่ชอบหมกมุ่นอยู่กับความเครียด ดังนั้น…เราจะมาดูเทคนิคการจัดการกับความเครียดกันค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง
.
1. มีทัศนคติเชิงบวก
การมีทัศนคติในทางบวกต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิต ไม่เหมือนกับคำว่าโลกสวย มองหาแต่สิ่งที่จะทำให้จิตใจมีความสุขนะคะ ทัศนคติทางบวก คือ การพยายามที่จะมองให้เห็นว่า สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราตอนนี้จะสร้างโอกาส หรือให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อชีวิตในด้านใดบ้าง และปรับเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสนั่นเอง
.
2. ปล่อยวาง
ชีวิตในโลกนี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้จากพฤติกรรมของเรา 95% และเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้จากพฤติกรรมของผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม 5% หากเราควบคุมในส่วนที่เราควรคุมได้จนเต็มที่แล้ว หากสถานการณ์ต่างๆ ออกมาไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ มีอุบัติเหตุ หรือเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เราก็ต้องยอมรับว่าโลกนี้มีบางสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้จริงๆ ดังนั้นผลลัพธ์จึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แค่ทำสิ่งที่เราควบคุมได้เท่าที่เราจะทำได้ โดยไม่ต้องคาดหวังว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นใด
.
3. หนักแน่น
การใช้ชีวิตไปตามคำสั่ง การชักจูงของผู้อื่น การยอมทำเพราะเกรงใจผู้อื่น อาจทำให้สายสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีก็จริง แต่เป็นเพียงในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเมื่อต้องยอมไปนานๆ เราจะรู้สึกอึดอัดและรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบจนกลายเป็นเก็บกด แล้วมารู้สึกหงุดหงิด หรือซึมเศร้าทีหลัง นำไปสู่การตัดขาดความสัมพันธ์กับคนผู้นั้นในที่สุด การกล้าปฏิเสธโดยใช้คำพูดที่ให้เกียรติทั้งตนเองและผู้อื่น อาจทำให้มีคนรู้สึกผิดใจคุณเล็กน้อยในวันนี้ แต่จะไม่สะสมเป็นการผิดใจอย่างรุนแรงในวันข้างหน้า
.
4. ผ่อนคลาย
คนเราสามารถหาวิธีการผ่อนคลายได้หลากหลายแล้วแต่ความชอบ บางคนเลือกการช็อปปิ้ง ไปเที่ยว และการดูหนัง แต่การผ่อนคลายที่ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ย่อมหนีไม่พ้นการออกกำลังกาย คุณไม่จำเป็นต้องไปวิ่งให้หอบเหนื่อยทุกวัน แค่ยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายเบาๆ ด้วยท่าง่ายๆ อย่างโยคะ ไทชิ พิลาทิส ซึ่งเป็นการออกกำลังกายไปพร้อมๆ กับการทำสมาธิ จะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานความเครียดในระยะยาว
.
5. มีวินัย
การกำหนดวินัยในการใช้ชีวิต จะรู้สึกเครียดในระยะแรกๆ แต่จะส่งผลดีต่อสภาพจิตใจและชีวิตในระยะยาว คุณเพียงกำหนดตัวเองให้มีวินัยในการใช้ชีวิตตามแผนการที่วางไว้ แบบเรื่อยๆ ทีละนิด ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคุณมีวินัยและเริ่มทำตามตารางเวลาชีวิตได้ดีขึ้น ชีวิตคุณจะเริ่มเปลี่ยนไปในทางบวกอย่างเห็นได้ชัด
.
6. ดูแลร่างกายด้วยอาหารที่ดี
กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และควบคุมอาหารให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่กินมากไป หรือน้อยเกินไป ไม่กินอาหารจำเจซ้ำซาก แต่กินให้หลากหลาย และเน้นไปที่ผัก ผลไม้ แร่ธาตุต่างๆ ในผักผลไม้จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและช่วยลดทอนความเครียดสะสมได้ดี
.
7. บริหารเวลา
ความเครียดมักจะเกิดเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่มีเวลาที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จตามแผน หรือเรามีเวลาให้ตัวเองน้อยเกินไปในแต่ละวัน ทำอะไรก็ไม่ทันสักอย่าง ดังนั้นหากเราบริหารเวลาให้ดี และใช้เวลาที่ผ่านไปให้เป็นประโยชน์สูงสุด เราก็จะรู้สึกเครียดน้อยลง การมีตารางเวลาชีวิตที่ชัดเจนจะทำให้เราสามารถทำงานและทำสิ่งต่างๆได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณอาจเริ่มจากการวางแผนเวลาไว้แบบหลวมๆ และพยายามทำตามอย่างยืดหยุ่น ไม่ต้องยึดติดว่่าต้องตรงเป๊ะทุกอย่างก็ได้
.
8. กำหนดของเขตของตัวเอง
มีขอบเขตของตัวเอง และอย่าให้คนอื่นล้ำเส้น ต้องกล้าปฏิเสธในสิ่งที่จะทำให้คุณลำบากใจและรู้สึกเครียด เพราะต้องฝืนใจทำ เราสามารถยืนหยัดในความต้องการของตนเองได้โดยไม่ต้องทะเลาะกับคนอื่น เพียงแค่คุณต้องกำหนดขอบเขตของตัวเอง และกล้าออกความคิดเห็นอย่างตรงประเด็นและชัดเจน โดยไม่ใช้อารมณ์ในการพูด ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมในเวลาที่จะบอกว่าเราไม่ชอบอะไร หรือไม่ต้องการทำอะไร เรารู้สึกฝืนใจที่จะทำด้วยเหตุผลอะไร รวมถึงยอมเดินหน้าคนละครึ่ง โดยต่อรองว่าคุณคุณมีข้อจำกัดส่วนตัวเท่าไหร่บ้าง และสะดวกใจทำให้หรือยอมรับข้อเสนอได้เท่านี้ด้วยเหตุผลอะไรบ้าง
.
9. ทำในสิ่งที่ชอบและรัก
หาเวลาในการทำงานอดิเรกที่ตนเองชอบ หรือสิ่งที่คุณกำลังสนใจ เช่น ดูหนัง อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือการไปเดินช็อปปิ้งที่ห้าง แต่งานอดิเรกที่ดีที่สุด คือ งานที่เราสามารถทำเป็นอาชีพได้เลย เป็นงานที่สร้างทั้งรายได้และความสุขให้คุณ เป็นงานที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต ดังนั้นหน้าที่ของคุณคือการค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่คุณรัก และสามารถหาเงินมาให้คุณได้ใช้ชีวิตต่อในเส้นทางที่ตนเองชอบด้วยค่ะ
.
10. นอนหลับให้เพียงพอ
นอนหลับพักผ่อนให้ตรงเวลา และเพียงพอ แม้จะเครียดเพียงใดก็ขอให้หลับให้ได้ “หลับก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ” ควรเป็นประโยคที่คุณพูดซ้ำๆ กับตัวเองในเวลาที่มีปัญหาคาราคาซังและยังไม่พบทางแก้ เพราะไม่แน่ เมื่อคุณหลับไปแล้วตื่นมาอีกครั้ง คุณจะพบว่าสมองได้จัดการฟื้นฟูจิตใจ และเรียบเรียงข้อมูลใหม่ให้เรา และคุณอาจค้นพบหนทางแก้ปัญหาได้อย่างง่ายๆในที่สุด
.
11. สร้างสายสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
ให้เวลากับคนใกล้ชิด และใช้เวลากับคนที่เรารักให้เพียงพอ ให้ความสนใจกับคนที่สนับสนุนเรา เพื่อรับความรักและความอบอุ่นให้มากพอจนไม่รู้สึกโหยหาการเข้าสังคม หรืออยากได้รับการยอมรับจากบุคคลภายนอก เพราะจริงๆแล้วบุคคลอื่นไม่ได้มีความสำคัญต่อชีวิตเรา และเราก็ไม่มีความสำคัญในชีวิตเขามากเท่าที่เราคิด คนใกล้ตัวเรา คือคนที่ทั้งเราและเขามีอิทธิพลต่อชีวิตกันและกันอย่างแท้จริง
.
12. หมั่นตรวจสุขภาพจิตให้บ่อยพอๆ กับตรวจร่างกาย
รู้หรือไม่คะ… ในบางโรงพยาบาล หรือบางคลีนิค จิตแพทย์จะมีเครื่อง biofeedback ที่ใช้ในการตรวจจับความเครียดที่สะสมในตัวเรา เช่น การเกร็งของกล้ามเนื้อ อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น หายใจเร็วและหายใจตื้น ซึ่งทำให้เลือดขาดออกซิเจนที่เพียงพอ และส่งผลต่ออาการเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัว การไปพบจิตแพทย์บ้าง จึงเป็นเรื่องที่ควรทำ เราควรไปตรวจเช็คสุขภาพจิตประจำปี พอๆกับการตรวจร่างกายประจำปี เพื่อที่จะได้เช็คว่าตนเองมีความเครียดในเรื่องใดเป็นพิเศษ มีการนอนหรือการกินผิดปกติอย่างไร จะได้หาทางแก้ไขทันก่อนเป็นโรคสะสมจนเกิดเป็นภาวะทางจิตในอนาคต
.
หากเราสามารถกำจัดความเครียดออกจากตัวเราได้แล้ว เราย่อมมีความสุขในการใช้ชีวิต หากจมอยู่กับความเครียดไม่เพียงแต่เราจะยิ่งทุกข์ แต่คนรอบข้างหรือคนที่คนเรารักเมื่อเห็นเราทุกข์ เขาย่อมทุกข์ตามไปด้วย ทางที่ดีเราควรรีบออกจากความเครียดให้ได้ และก้าวเดินต่อไป แล้วเราจะพบกับความสุข เพราะความเครียดไม่เป็นผลดีต่อใคร ทำลายสุขภาพทั้งทางกายและทางใจ เมื่อเราเครียดได้ เราก็ควรคลายให้เป็นกันนะคะ : )

ติดต่อเรา